บทที่ 4 การวางแผนพัฒนาหลักสูตร
1. แหล่งการเรียนรู้ในท้องถิ่น
แหล่งการเรียนรู้ในท้องถิ่นซึ่งจะเอื้อประโยชน์ในการเรียนรู้ที่หลากหลายในการจัดการเรียนการสอนมี
6 ประเภท ดังนี้
1. บุคคล
หมายถึง ผู้ที่มีความรู้ ความสามารถ ความเชี่ยวชาญในงานเฉพาะสาขาหรืองานอาชีพต่างๆ
ซึ่งโรงเรียนอาจเชิญมาเป็นวิทยากรในบางชั่วโมง
หรืออาจจ้างสอนเป็นรายวิชาหรือเชิญเป็นอาสาสมัครสอน เป็นพิเศษ ได้แก่ เกษตร กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน
นักธุรกิจ พระสงฆ์ ช่างฝีมือ เกษตรตำบล
ผู้ที่ประสบความสำเร็จในการประกอบอาชีพ
ผู้ที่เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นเป็นต้น
2. สถาบัน
หน่วยงาน หรือองค์กรทางสังคม แบ่งได้ 2 ประเภทดังนี้
2.1 สถานศึกษา
พัฒนาและให้บริการประชาชน หมายถึง หน่วยงานที่ให้การศึกษา พัฒนาความรู้ ความสามารถ
เจตคติ ได้แก่ โรงเรียน วิทยาลัย มหาวิทยาลัย สถานีอนามัย โรงพยาบาล ห้องสมุด วัด
สถานีทดลองข้าว สถานีประมง พิพิธภัณฑ์ ศูนย์ฝึกอบรม ฯลฯ เป็นต้น
2.2 สถานประกอบการทางธุรกิจ การค้า
อุตสาหกรรม และอาชีพอิสระ ได้แก่ ร้านค้า โรงงาน ฟาร์ม ฟาร์มเลี้ยงไก่
ร้านซ่อมรถจักรยาน ร้านขายอาหาร ไร่ข้าวโพด นาเกลือ สวนมะม่วง ฯลฯ เป็นต้น
3. สถานที่ที่เป็นแหล่งธรรมชาติ
ได้แก่ แม่น้ำ ทะเล ภูเขา ป่าไม้ น้ำตก
ห้วย หนอง คลอง บึง ฯลฯ เป็นต้น
4. วัสดุและเศษวัสดุต่างๆที่มีในท้องถิ่น แบ่งได้
2 ประเภทคือ
4.1 วัสดุและเศษวัสดุที่ได้จากธรรมชาติ ได้แก่ แร่ธาตุ ดิน หิน ทราย พืช
เปลือกไม้ เมล็ดข้าว ใบไม้ ดอกไม้ ผลไม้ ฯลฯ เป็นต้น
4.2 วัสดุและเศษวัสดุที่ได้จากการผลิตหรือการประดิษฐ์ขึ้นโดยมนุษย์ ได้แก่
กระดาษ กล่องกระดาษ ขวดแก้ว ขวดพลาสติก เศษไม้ เศษผ้า เศษกระดาษ เศษกระจก กระป๋อง ฝาขวดน้ำอัดลม ฯลฯ เป็นต้น
5. สื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆ
เช่น แผ่นพับ วารสาร หนังสือพิมพ์หนังสือ รูปภาพ ฯลฯ
6. สื่ออิเล็กทรอนิกส์
เช่น อินเตอร์เน็ต แผ่นซีดี – รอม บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน
(CAI) วีดีทัศน์
ภาพยนตร์ฯลฯ
2.
ของการเรียนการสอนโดยการใช้แหล่งการเรียนรู้ในท้องถิ่น
การใช้แหล่งการเรียนรู้ในท้องถิ่น
มีประโยชน์ต่อการจัดการเรียนการสอน ดังนี้
1. ทำให้นักเรียนรู้จัก
และใช้ประโยชน์จากสิ่งต่างๆที่มีอยู่และหาได้ง่าย ในท้องถิ่นของตน
สามารถนำความรู้และประสบการณ์ที่ได้จากการศึกษามาพัฒนาชีวิต
ความเป็นอยู่หรือการนำมาใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันได้
สามารถปรับการดำเนินชีวิตให้สอดคล้องกับสภาพท้องถิ่น
จึงสามารถอยู่กับท้องถิ่นได้อย่างเป็นสุข
2. ทำให้นักเรียนรัก
ภูมิใจ มองเห็นคุณค่า หวงแหน อนุรักษ์ และช่วยทำนุบำรุงรักษาท้องถิ่นของตน
เพราะนักเรียนได้พึ่งพาแหล่งการเรียนรู้ต่างๆ ที่มีในท้องถิ่นในการพัฒนาศักยภาพของตน
ถ้าแหล่งการเรียนรู้ต่างๆ
ต้องศูนย์เสียไปโดยเปล่าประโยชน์ก็จะส่งผลให้คุณภาพชีวิตของนักเรียนต้องลดน้อยถอยลงหรือได้ผลกระทบตามไปด้วย
3. ช่วยให้การเรียนการสอนมีประสิทธิภาพ
เพราะนักเรียนได้รับประสบการณ์ตรงได้เห็นจริงและได้ปฏิบัติจริงด้วยตนเอง
การนำวิทยากรมาสู่ห้องเรียนหรือการพานักเรียนไปศึกษานอกโรงเรียน
ทำให้นักเรียนได้เปลี่ยนบรรยากาศจากการเรียนที่จำเจ ไปสู่การเรียนที่แปลกใหม่
นักเรียนจึงเกิดความสนใจและความกระตือรือร้นในการเรียน นอกจากนี้
การนำวัสดุในท้องถิ่นมาจัดการเรียนการสอนยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายของผู้ปกครอง
และของทางราชการอีกด้วย
4. ช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนครูหรือขาดครูที่มีความรู้ความชำนาญในการสอนบางเนื้อหาบทเรียน
การนำวิทยากรในท้องถิ่นที่มีความรู้
ความสามารถมากกว่าครูมาช่วยสอนทำให้นักเรียนได้รับความรู้ ความเข้าใจ อย่างครบถ้วน
สมบูรณ์ เต็มตามหลักสูตร
5. การใช้วิทยากรหรือแหล่งเรียนรู้ในท้องถิ่น
ทำให้เกิดความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างโรงเรียนกับชุมชน เกิดความเข้าใจกัน
ให้ความร่วมมือและให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกันในการจัดการศึกษาหรือพัฒนาท้องถิ่นให้เจริญก้าวหน้ายิ่ง
ๆ ขึ้น
3. แนวทางการใช้แหล่งการเรียนรู้ในท้องถิ่น
การใช้แหล่งการเรียนในท้องถิ่น เพื่อประโยชน์ต่อการเรียนการสอนมีแนวทางกว้างๆ
ดังนี้
1. สำรวจข้อมูลเกี่ยวกับแหล่งการเรียนรู้ในท้องถิ่น
จัดทำระบบการเก็บรวบรวมข้อมูลให้ทันสมัย สะดวกต่อการค้นหา
2. ศึกษาหลักสูตรและเอกสารประกอบหลักสูตรต่างๆเพื่อพิจารณาถึงความเหมาะสมที่จะใช้แหล่งการเรียนรู้ในท้องถิ่นให้เป็นประโยชน์และสอดคล้องกับหลักสูตร
3. ประยุกต์ใช้วัสดุและเศษวัสดุที่มีในท้องถิ่นในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนโดยยึดหลักการหรือความคิดรวบยอดตามหลักสูตรแกนกลาง
ทดลองใช้จนเกิดความมั่นใจแล้วจึงได้นำมาให้นักเรียนได้ฝึกปฏิบัติ
4. ครูและนักเรียนร่วมมือกันเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการเรียนรู้ในท้องถิ่นอย่างเป็นระบบ
เพื่อประโยชน์ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน
5. บันทึกผลการเรียนการสอนโดยการใช้แหล่งการเรียนรู้ในท้องถิ่น
ทั้งเป็นลายลักษณ์อักษรและรูปภาพ เพื่อประโยชน์ในการพัฒนา ปรับปรุง
หรือนำมาใช้ในโอกาสต่อไป
6. ปรับปรุง แก้ไข พัฒนา
การเรียนการสอนโดยใช้แหล่งการเรียนรู้ในท้องถิ่นให้ดีขึ้นอยู่เสมอ ซึ่งนอกจากจะเป็นประโยชน์ต่อคุณภาพของการเรียนการสอนแล้ว
ยังเห็นการเผยแพร่ ประชาสัมพันธ์กิจกรรมของโรงเรียนได้ด้วย
4. ผู้มีส่วนร่วมในการพัฒนาหลักสูตรและการใช้หลักสูตรสถานศึกษาเพื่อพัฒนาชุมชนท้องถิ่น
ผู้มีส่วนร่วมในการพัฒนาหลักสูตร
ต้องมีการร่วมมือกันหลายฝ่ายเพื่อให้ผลงานออกมาตรงเป้าหมาย ได้แก่
1. นักบริหารหลักสูตร
ได้แก่ อธิบดีกรมวิชาการ ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาหลักสูตร
ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาหนังสือฯ
2. นักวิชาการ
ได้แก่ อาจารย์ในมหาลัยและสถาบันการศึกษาต่าง ๆ
3. ครู
อาจารย์ ศึกษานิเทศก์
4. นักบริหาร
ได้แก่ ผู้บริหารในระดับต่าง ๆ
5. บุคคลภายนอก
ได้แก่ บุคคลอื่น ๆ
นอกจากที่กล่าวมาและเป็นผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการใช้หลักสูตร
6. หน่วยสนับสนุนการใช้หลักสูตร
ได้แก่
-
หน่วยผลิตชุดการสอน และวัสดุอุปกรณ์
-
หน่วยผลิตสื่อสารการเรียนการสอนอื่น ๆ
-
หน่วยนิเทศและประสานงาน
-
หน่วยทดสอบและประเมินผลการเรียนในโรงเรียน
-
หน่วยแนะแนวในโรงเรียน
การใช้หลักสูตรสถานศึกษาเพื่อพัฒนาชุมชนท้องถิ่น
เนื้อหาสาระของหลักสูตรท้องถิ่น
แยกได้ 4 ประเภท คือ
1.
เนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับสภาพทางภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ สังคม
วัฒนธรรม ศาสนา เศรษฐกิจ ของท้องถิ่น
2.
เนื้อหาที่เกี่ยวกับจุดเด่นของท้องถิ่นที่ผู้เรียนควรทราบ
เพื่อให้เกิดความภูมิใจ
3.
เนื้อหาที่เกี่ยวกับนโยบาย วิสัยทัศน์ของท้องถิ่น
4.
เนื้อหาที่เกี่ยวกับนโยบาย ของประเทศที่เกี่ยวข้องกับท้องถิ่น
วิธีนำเนื้อหาท้องถิ่นมาสู่หลักสูตรและการสอน
1. สำรวจสภาพภูมิอากาศ ประวัติศาสตร์ สังคม วัฒนธรรม ศาสนา
เศรษฐกิจของท้องถิ่น โดยได้จากการอ่านเอกสารจากหน่วยงานปกครอง
หน่วยงานที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว หน่วยงานที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์
เอกสารในห้องสมุดที่เกี่ยวกับท้องถิ่น แล้วนำมาวิเคราะห์ สรุป
เป็นเนื้อหาสาระของท้องถิ่น
ตัวอย่าง:
จังหวัดนครพนม
1. จุดเด่นของจังหวัดนครพนมที่จะมาใส่ในหลักสูตรท้องถิ่น
สรุปได้ดังนี้
1)
ภาคภูมิศาสตร์ เป็นจังหวัดชายแดนที่ติดต่อกับประเทศลาว
และใกล้กับประเทศเวียดนาม
2)
ประวัติศาสตร์ จังหวัดนครพนม
เป็นจังหวัดชายแดนตั้งเลียบชายฝั่งขวาของแม่น้ำโขง ตรงข้ามกับเมืองท่าแขก
ริมฝั่งแม่น้ำโขง ในดินแดนที่ราบสูง
อดีตเป็นศูนย์กลางของอาณาจักรศรีโคตรบูรณ์อันรุ่งเรือง ได้ถูกเปลี่ยนเป็น
"มรุกขนคร" และต่อมาได้โปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนชื่อเป็น
"นครพนม" แขวงคำม่วนของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
เป็นที่ประดิษฐานพระธาตุพนมอันศักดิ์สิทธิ์และเก่าแก่
3)
ศาสนา มีศาสนาสำคัญ คือ ศาสนาพุทธ คริสต์
ที่ทำให้ประชาชนสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างมีสันติ
4)
สถานที่ท่องเที่ยว จังหวัดนครพนม คือ พระธาตุพนม
นอกจากนี้ยังมีพระธาตุอื่นๆ ที่ชาวจังหวัดนครพนมเคารพนับถือ ได้แก่
พระธาตุประสิทธิ์ พระธาตุท่าอุเทน พระธาตุเรณู พระธาตุศรีคุณ พระธาตุนคร
และพระธาตุมหาชัย เป็นต้น ซึ่งถือเป็นเมืองพระธาตุโดยแท้ 5) คำขวัญ ได้แก่ : พระธาตุพนมค่าล้ำ
วัฒนธรรมหลากหลาย เรณูผู้ไท เรือไฟโสภางามตาฝั่งโขง
5)
ต้นไม้ประจำจังหวัด: กันเกรา (Fagraea fragrans)
2. นำเนื้อหาดังกล่าวมาพิจารณาว่าจะเกี่ยวข้องกับสาระการเรียนรู้ใดตัวอย่างจังหวัดนครพนม
สาระการเรียนรู้ เนื้อหาท้องถิ่น
เช่น
1. ภาษาไทย ภาษา 7 ชนเผ่า
2.
คณิตศาสตร์ ข้อมูลด้านภูมิศาสตร์
หาด เกาะ ดินฟ้าอากาศ ที่ทำกิน อาชีพ สภาพทางเศรษฐกิจและสังคม
3. วิทยาศาสตร์ วิธีทำเกษตร
การดูแลสภาพป่าต่างๆ
4.
สังคมวิทยา ศาสนาวัฒนธรรม วัฒนธรรมของคน
วิถีชีวิตความเป็นอยู่ อาหาร อาชีพ และเศรษฐกิจสังคม
5. สุขศึกษา
พลศึกษา คุณค่าทางโภชนาการ
6. ศิลปะ การทอผ้ามัดหมี่
ลายผ้าทอ
7. การงาน
อาชีพ และเทคโนโลยี เน้นอาชีพของคนนครพนม
การเกษตร
8. ภาษาต่างประเทศ ภาษาอังกฤษ
3. นำเนื้อหามาผสมผสานกับเนื้อหาในหลักสูตรใหม่
อาจทำได้หลายลักษณะ เช่น
ก)
ใช้เป็นเนื้อหาสอน เช่น เมื่อสอนเรื่อง ตนเองและครอบครัวก็ใช้สภาพจริงเป็นเนื้อหา
ข)
ใช้เป็นแบบฝึกหัดให้นักเรียนไปทำ เช่น การประกอบอาชีพของคนในท้องถิ่นมีกี่อาชีพ
อะไรบ้าง มีผู้ทำร้อยละเท่าไร
ค)
ใช้เป็นโครงงาน ให้นักเรียนไปหาทางแก้ไข
ง)
ใช้ปัญหาเป็นฐาน ให้นักเรียนไปหาทางแก้ไข
จ)
ใช้เป็นประเด็น ให้นักเรียนไปค้นคว้า ตัวอย่างเช่น นครพนม แปลว่า มีลักษณะอย่างไร
มากน้อยเพียงใด มีอะไรสูญหายไปบ้างหรือไม่ ถ้าสูญหายทำไมจึงสูญหายไป
ฉ)
ใช้เป็นสถานที่ไปทัศนศึกษา เช่น พระธาตุต่างๆ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น