การให้เหตุผลแบบอุปนัย
การให้เหตุผลแบบอุปนัย
(Inductive
Reasoning) เกิดจากการที่มีสมมติฐานกรณีเฉพาะ หรือเหตุย่อยหลายๆ
เหตุ เหตุย่อยแต่ละเหตุเป็นอิสระจากกัน มีความสำคัญเท่าๆ กัน
และเหตุทั้งหลายเหล่านี้ไม่มีเหตุใดเหตุหนึ่งแสดงให้เห็นถึงความเป็นสมมติฐานกรณีทั่วไป
หรือกล่าวได้ว่า การให้เหตุผลแบบอุปนัยคือการนำเหตุย่อยๆ แต่ละเหตุมารวมกัน
เพื่อนำไปสู่ผลสรุปเป็นกรณีทั่วไป เช่นตัวอย่างการให้เหตุผลแบบอุปนัย
1. สุนทรี
พบว่า ทุกครั้งที่คุณแม่ไปซื้อก๋วยเตี๋ยวผัดไทยจะมีต้นกุยช่ายมาด้วยทุกครั้ง จึงสรุปว่า ก๋วยเตี๋ยวผัดไทยต้องมีต้นกุยช่าย
2. ชาวสวนมะม่วงสังเกตมาหลายปีพบว่า
ถ้าปีใดมีหมอกมาก ปีนั้นจะได้ผลผลิตน้อย เขาจึงสรุปว่าหมอกเป็นสาเหตุที่ทำให้ผลผลิตน้อย
ต่อมามีชาวสวนหลายคนทดลองฉีดน้ำล้างช่อมะม่วง เมื่อมีหมอกมากๆ
พบว่าจะได้ผลผลิตมากขึ้นจึงสรุปว่า การล้างช่อมะม่วงตอนมีหมอกมากๆ
จะทำให้ได้ผลผลิตมากขึ้น
3. นายสมบัติ
พบว่า ทุกครั้งที่ทำความดีจะมีความสบายใจ
จึงสรุปผลว่า การทำความดีจะทำให้เกิดความสบายใจ การให้เหตุผลแบบอุปนัย
เป็นวิธีการให้เหตุผลโดยสรุปจากเหตุหลาย ๆ
เหตุโดยถือหลักความจริงของเหตุจากส่วนย่อยหรือส่วนเฉพาะไปสู่การสรุปความจริงที่เป็นส่วนใหญ่
หรือส่วนร่วมโดยที่เหตุผลลักษณะนี้จะประกอบไปด้วย ข้อความ 2 กลุ่มคือ
ข้อความที่เป็นส่วนของเหตุและข้อความที่เป็นข้อสรุป
โดยกลุ่มของข้อความที่เป็นเหตุจะทำให้เกิดข้อสรุปของข้อความในกลุ่มหลังเราสามารถกล่าวได้ว่าการให้เหตุผลแบบอุปนัยมีลักษณะการนำความรู้ที่ได้จากการตัดสินใจจากประสบการณ์หลาย
ๆครั้ง การสังเกต หรือการทดลองหลาย ๆ ครั้งมาเป็นเหตุย่อยหรือสมมติฐานต่าง ๆ
แล้วนำมาสรุปเป็นคุณสมบัติของส่วนรวมทั้งหมดเป็นข้อความหรือความรู้ทั่วไปซึ่งจะครอบคลุมไปถึงสิ่งที่ยังไม่มีประสบการณ์หรือยังไม่ได้กล่าวอีกด้วย
ข้อจำกัดของการให้เหตุผลแบบอุปนัย
1. ข้อสรุปที่ได้จากการให้เหตุผลแบบอุปนัยที่ยอมรับว่าเป็นจริงนั้นอาจจะเกิดข้อขัดแย้งกับข้อความที่เป็นเหตุเรายังไม่ได้อ้างไว้ก่อนเพราะข้อความที่เป็นเหตุยังมีอยู่อีกมากมีจำนวนไม่จำกัด
2. จากการสังเกตข้อเท็จจริงจากเหตุหรือสมมุติฐานในเหตุการณ์หรือตัวอย่างที่หามา
แล้วนำมาสรุปเป็นการวางนัยทั่วไปอาจจะไม่ใช่ข้อสรุปที่ถูกต้องก็ได้เพราะอาจมีตัวอย่างที่ไม่เป็นไปตามข้อสรุปที่ได้มาใหม่แน่นอนกว่าทำให้ข้อสรุปนั้นผิดไป
3. ข้อสรุปที่มาจากการให้เหตุผลแบบอุปนัย
เป็นการวางนัยทั่วไปซึ่งไม่ได้ให้ความจริงกับเราได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ข้อสรุปนี้อาจจะถูกต้องหรือผิดก็ได้และเป็นเพียงข้อสรุปที่มีความจริงว่าจะเป็นสิ่งที่จะถูกต้องเท่านั้น
ตัวอย่างการให้เหตุผลแบบอุปนัย
ตัวอย่างที่ 1
ในการศึกษาลักษณะของสิ่งมีชีวิต ดังต่อไปนี้
เหตุ 1. คนทุกคนต้องหายใจ
2.
นกทุกคนต้องหายใจ
3. แมวทุกคนต้องหายใจ
4.
เต่าทุกคนต้องหายใจ
5.
เสือทุกคนต้องหายใจ
ผลสรุป
สัตว์ทุกชนิดต้องหายใจ
ตัวอย่างที่ 2
จากการสังเกตต่อไปนี้
เหตุ 1. สมชายเป็นไข้หวัดใหญ่ถ้ากินฟ้าทะลายโจร
แล้วจะหายจากการเป็นไข้หวัดใหญ่
2. สมหมายเป็นไข้หวัดใหญ่ถ้ากินฟ้าทะลายโจร
แล้วจะหายจากการเป็นไข้หวัดใหญ่
3. สมปองเป็นไข้หวัดใหญ่ถ้ากินฟ้าทะลายโจร
แล้วจะหายจากการเป็นไข้หวัดใหญ่
4. สมหวังเป็นไข้หวัดใหญ่ถ้ากินฟ้าทะลายโจร
แล้วจะหายจากการเป็นไข้หวัดใหญ่
ผลสรุป
คนทุกคนที่เป็นไข้หวัดใหญ่ถ้ากินฟ้าทะลายโจร
แล้วจะหายจากการเป็นไข้หวัดใหญ่
ตัวอย่างที่ 3
ในการทดลองชิมส้มในตะกร้าของพ่อค้า
เหตุ 1. ลูกที่
1 รสชาติหวาน
2. ลูกที่ 2
รสชาติหวาน
3. ลูกที่ 3
รสชาติหวาน
ผลสรุป
ส้มที่อยู่ในตะกร้า เป็นส้มที่มีรสหวาน
ตัวอย่างการให้เหตุผลแบบอุปนัยทางคณิตศาสตร์
จงใช้การให้เหตุผลแบบอุปนัยสรุปผลเกี่ยวกับผลบวกของจำนวนคู่สองจำนวน
0 +2 =
2 (จำนวนคู่)
2+4 =
6 (จำนวนคู่)
4+6 =
10 (จำนวนคู่)
6+8 =
14 (จำนวนคู่)
8+10 = 18
(จำนวนคู่)
สรุปผลว่า ผลบวกของจำนวนคู่สองจำนวนเป็นจำนวนคู่
ข้อสังเกตและปัญหาของการให้เหตุผลแบบอุปนัย
1. การสรุปผลที่ได้จากการสังเกตหรือการทดลองหลายๆ
ครั้ง ผลสรุปดังกล่าวอาจจะไม่เป็นจริงเสมอไป เช่นจากการพบไข่มุกหลาย ๆ ครั้ง
ปรากฏว่าไข่มุกที่พบนั้นมีสีขาว จึงสรุปว่าไข่มุกมีสีขาว
ซึ่งการสรุปผลนี้ไม่เป็นจริงเพรามีไข่มุกบางชนิดมีสีชมพูหรือสีเทา
2. การสรุปผลโดยการให้เหตุผลแบบอุปนัยนั้นบางครั้งผลสรุปของแต่ละคนอาจจะไม่เหมือนกัน
เพราะผลที่ได้จากการสังเกตต้องขึ้นกับพื้นฐานและประสบการณ์ของผู้สังเกตแต่ละคน
เช่น จงพิจารณาการเรียงลำดับจำนวนต่อไปนี้
2,
4, 6, … จงหาจำนวนที่เรียงต่อจาก 6
มา 2 จำนวน
คนที่หนึ่ง สังเกตการเรียงของ 2,
4, 6 ว่าเป็นการเรียงของจำนวนคู่ ดังนั้น อีก
2 จำนวนถัดไปคือ 8, 10
คนที่สอง สังเกตการเรียงของ 2,
4, 6 ว่า สองจำนวนหน้าบวกกันจะได้จำนวนถัดไป
เช่น 6 ได้มาจาก 2+4
แสดงว่า
จำนวนที่ถัดจาก 6 ไป คือ 4+6
= 10
แสดงว่า
จำนวนที่ถัดจาก 10 ไป คือ 6+10 = 16
ดังนั้น อีก 2 จำนวนถัดไป คือ 10,
16
คนที่สาม สังเกตการเรียงของ 2,
4, 6 ว่า จำนวนถัดไปต้องเกิดจาก 2
จำนวนหน้าคูณกันแล้วลบด้วย 2
เช่น 6 เกิดจาก
2
x 4 – 2
แสดงว่า จำนวนที่ถัดจาก 6 ไป คือ
4
x 6 - 2 = 22
แสดงว่า จำนวนที่ถัดจาก 22 ไป คือ
6
x 22 -2 = 130
ดังนั้น อีก 2 จำนวนถัดไป คือ 22,
130
3. ข้อมูล
หลักฐานหรือข้อเท็จจริงเป็นตัวแทนที่ดีในการให้ข้อสรุปหรือไม่ เช่น
ถ้าอยากรู้ว่าคนไทยชอบกินข้าวเจ้าหรือข้าวเหนียวมากกว่ากัน
ถ้าถามจากคนที่อาศัยอยู่ในภาคเหนือหรือภาคอีสาน
คำตอบที่ตอบว่าชอบกินข้าวเหนียวอาจจะมีมากกว่าชอบกินข้างเจ้า
แต่ถ้าถามคนที่อาศัยอยู่ในภาคกลางหรือภาคใต้ คำตอบอาจจะเป็นในลักษณะตรงข้าม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น