พื้นฐานทางด้านจิตวิทยา
ในการจัดทำหลักสูตรนั้นนักพัฒนาหลักสูตรต้องคำนึงอยู่เสมอว่าต้องพยายามจัดหลักสูตรให้สนองความต้องการและความสนใจของผู้เรียนอย่างแท้จริง
ด้วยการศึกษาข้อมูล พื้นฐานเกี่ยวกบตัวผู้เรียนว่าผู้เรียนเป็นใคร
มีความต้องการและความสนใจอะไร มีพฤติกรรมอย่างไร
ซึ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับจิตวิทยาทั้งสิ้น ดังนั้นข้อมูลพื้นฐานทางด้านจิตวิทยาจึงเป็นส่วนสำคัญที่นักพัฒนาหลักสูตรจะละเลยมิได้ในการนำมาวางรากฐานหลักสูตร
เช่น การกำหนดจุดมุ่งหมายหลักสูตร การกำหนดเนื้อหาวิชา และการจัดการเรียนรู้
เพื่อให้ได้หลักสูตรที่เหมาะสม
ที่สุดนักพัฒนาหลักสูตรจะต้องมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องของจิตวิทยา โดยเฉพาะ
จิตวิทยาพัฒนาการ(developmental psychology) และจิตวิทยาการเรียนรู้ (psychology of learning) ซึ่งจิตวิทยาทั้ง
2 สาขานี้จะเกี่ยวข้องกับการจัดทำหลักสูตรโดยตรง นอกจากนี้
นักพัฒนาหลักสูตรยังให้ความสำคัญกับจิตวิทยาทั่วไป (generalpsychology)ในส่วนที่เกี่ยวกับการส่งเสริมการเรียนรู้ของมนุษย์ด้วยเช่นกัน จิตวิทยาพัฒนาการกับการพัฒนาหลักสูตรจิตวิทยาพัฒนาการจะบอกถึงพัฒนาการของมนุษย์ทั้งด้านร่างกาย
อารมณ์ สังคม และเชาวน์ปัญญา ทำให้ทราบถึงความสามารถ ความสนใจ ความต้องการ เจตคติ
และศักยภาพด้านต่าง ๆ
ที่แตกต่างกันของผู้เรียนแต่ละคนองค์ประกอบของพัฒนาการของมนุษย์มี 2 ประการคือ
1. วุฒิภาวะ
(maturity) หมายถึง
กระบวนของความเจริญเติบโตสูงสุดของอินทรีย์ในร่างกายที่ทำให้เกิดความพร้อมที่จะทำกิจกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งในขณะนั้นโดยไม่ต้องอาศัยการฝึกฝนหรือเรียนรู้ใด
ๆ หรือเป็นไปโดธรรมชาติ
2. การเรียนรู้
(learning) เป็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอันเป็นผลมาจาก
ประสบการณ์ การเรียนรู้อาจเกิดขึ้นด้วยการจูงใจ
หรืออาจเกิดขึ้นโดยไม่ตั้งใจก็ได้พัฒนาการและการเจริญเติบโตของมนุษย์ แบ่งออกเป็น
2 ด้าน คือ
1.
พัฒนาการทางด้านร่างกาย (physical development) เป็นการเปลี่ยนแปลงในด้านโครงสร้างทั้งขนาดรูปร่าง และการทำงานของอวัยวะต่าง
ๆ ในร่างกาย
2.
พัฒนาการทางด้านสติปัญญา (mental development) เป็นความเจริญงอกงามที่บ่งบอกถึงการเพิ่มพูนความ
สามารถในประกอบกิจกรรมอย่างมีประสิทธิภาพ
และรวบรวมความรู้ความเข้าใจไว้เป็นหมวดหมู่ เป็นพัฒนาการทางด้านความคิด ความจำ
และความเข้าใจ
การวางหลักสูตรต้องกำหนดเนื้อหาวิชาให้เป็นลำดับจากง่ายไปสู่เนื้อหาที่ซับซ้อนขึ้น
สอดคล้องกับลำดับขั้นพัฒนา การด้านต่าง ๆ ของผู้เรียนและคำนึงถึงวุฒิภาวะและความพร้อมของผู้เรียน
จิตวิทยาการเรียนรู้กับการพัฒนาหลักสูตร
จิตวิทยาการเรียนรู้จะบอกถึงธรรมชาติของการเรียนรู้
การเกิดการเรียนรู้และปัจจัยทางจิตวิทยาที่ส่งเสริมการเรียนรู้ สามารถนำไปใช้ในการจัดการเรียนรู้ให้กับผู้เรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพแนวคิดของนักจิตวิทยาที่เกี่ยวกับทฤษฎีการเรียนรู้มี
3 กลุ่มใหญ่ ๆ ด้วยกัน ดังนี้
1. ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มความรู้นิยมหรือปัญญานิยม
(cognitivist
theory)
2. ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มมนุษยนิยม
(humanist
theory) หรือกลุ่มแรงจูงใจ (motivation theory
3. ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มความรู้นิยมหรือปัญญานิยม
(cognitivist
theory)
1. ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มความรู้นิยมหรือปัญญานิยม
(cognitivist theory)
นักจิตวิทยากลุ่มปัญญานิยมให้ความสนใจในการศึกษาปัจจัยภายในตัวบุคคลที่เรียกว่าโครงสร้างทางปัญญา
(cognitive
structure) ที่มีผลต่อความจํา การรับรู้และการแก้ปัญหาของบุคคล
นักจิตวิทยากลุ่มนี้มีความเชื่อว่าการกระทําต่าง ๆ ของบุคคลนั้นเกิดขึ้นจากตัวบุคคลนั้นเองไม่ใช่
เกิดจากเงื่อนไข บุคคลเป็นผู้กระทํา
สภาพแวดล้อมที่จะทําให้บุคคลเรียนรู้ได้ดีนั้นจะต้องเป็นสภาพแวดล้อมที่บุคคลรับรู้และมีความหมายต่อบุคคลเท่านั้น
อีกทั้งสิ่งใดที่บุคคลได้เรียนรู้มาก่อนจะมีผลต่อการเรียนรู้ในปัจจุบัน ดังนั้น
นักจิตวิทยากลุ่มนี้ให้ความสนใจต่อสิ่งที่บุคคลได้เรียนรู้มาแล้ว
เพื่อจะได้จัดประสบการณ์ที่มีความหมายเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพตัวอย่างนักจิตวิทยากลุ่มนี้
เช่น เกสตอลส์ (Gestalt) วิลเลี่ยม เจม (William
Jame) จอห์น ดิวอี้ (JohnDewey) เอดวาร์ด โทลแมน
(Edword Tolman)พีอาเจต์ (Piaget) และบูรเนอร์
(Burner)พฤติกรรมนิยม (behaviorist theory)
2. ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มมนุษยนิยม
(humanist theory) หรือกลุ่มแรงจูงใจ (motivation
theory)
นักจิตวิทยากลุ่มนี้คำนึงถึงความเป็นคนของคน
มองธรรมชาติของมนุษย์ในลักษณะว่ามนุษย์เกิดมาพร้อมกับความดี มนุษย์เป็นผู้ที่มีอิสระสามารถนำตนเองและพึ่งตนเองไดh
เป็นผู้ที่มีความคิดสร้างสรรค์ทำประโยชน์ให้สังคม
มีอิสระที่จะเลือกทำสิ่งต่าง ๆ ยึดการเรียนรู้จากแรงจูงใจเป็นหลัก นักจิตวิทยากลุ่มนี้ไม่ยอมรับว่าการเรียนรู้เกิดจากการกำหนดเงื่อนไขและกลไกต่าง
ๆ แต่เขาให้ความสนใจในลักษณะเฉพาะซึ่งเป็นลักษณะของปัจเจกบุคคลโดยเน้นสิ่งที่เรียกว่าตัวตน
(self)
ตลอดจนความมีอิสรภาพการที่
บุคคลได้มีโอกาสเลือก การกำหนดด้วยตนเอง (self determinism) และการเจริญงอกงามส่วนตน (growth) ซึ่งลักษณะของการจัดการเรียนการสอนตามแนวคิดของนักจิตวิทยากลุ่มนี้จะเน้นที่เด็กเป็นศูนย์กลาง
(child – centered) นักจิตวิทยากลุ่มนี้ที่เป็นที่รู้จักกันทั่วไป
ซึ่งมีอิทธิพลในการจัดการเรียนรู้คือโรเจอร์(Rogers) และมาสโลว์
(Maslow)
3. ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มพฤติกรรมนิยม
(behaviorist theory)
นักจิตวิทยากลุ่มนี้เน้นที่การศึกษาพฤติกรรมของบุคคลที่สามรรถสังเกตเห็นได้เป็นหลัก
โดยมีความเชื่อว่าปัจจัยหลักที่มีผลต่อพฤติกรมของมนุษย์นั้นน่าจะมาจากสิ่งเร้าในสภาพแวดล้อม
นั่นคือ ถ้าครูสามารถจัดสิ่งเร้าในสภาพแวดล้อมได้อย่างเหมาะสมแล้วก็จะสามารถทำให้เด็กเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นักจิตวิทยากลุ่มพฤติกรรมนิยมที่มีการกล่าวถึงเสมอคือ วัตสัน (Watson) กาเย่ (Gagne) สกินเนอร์ (Skinner) พาฟลอฟ (Parlor) ธอนร์นไดค์(Thorndike)และกัททรี (Guthrie)
ข้อมูลทางด้านจิตวิทยาการเรียนรู้จะทําให้ได้แนวคิดในการจัดทำหลักสูตรที่เหมาะสมกับผู้เรียน
เช่น
– หลักสูตรจะต้องคํานึงถึงการฝึกหัด
เพราะเป็นการเชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้าและการตอบสนอง
– จัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่เน้นการแก้ปัญหา
การค้นคว้า และวิธีการอื่นๆ ที่ส่งเสริมการหยั่งรู้
– หลักสูตรควรมีความยืดหยุ่น
โดยเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เลือกเรียนบางรายวิชา ตามความถนัดและความสนใจ
– การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนเน้นบรรยากาศและสิ่งแวดล้อมให้มีสถานที่เป็นแรงจูงใจให้เกิดการเรียนรู้
จิตวิทยาทั่วไปกับการพัฒนาหลักสูตร
ความรู้เกี่ยวกับจิตวิทยาทั่วไปที่นักพัฒนาหลักสูตรจะต้องคำนึงถึงในการพัฒนาหลักสูตร
ได้แก่
1. ความพร้อม
(readiness)
เป็นสภาวะที่เกิดขึ้นในร่างกายและจิตใจที่สามารถพัฒนาขึ้นได้จากการจัดประสบการณ์และสิ่งแวดล้อม
2. เจตคติ
(attitude)
หมายถึง ท่าทีที่บุคคลมีต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ซึ่งจะสังเกตได้จากการแสดงออก
ท่าทาง คำพูด
3. แรงจูงใจ
(motive)
และการจูงใจ (motivation) แรงจูงใจช่วยส่งเสริมให้ทำงาน
จนสำเร็จ และนำพฤติกรรมของตนไปให้ตรงทิศทาง ส่วนการจูงใจกับวิธีการชักจูงให้บุคคลกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่ผู้ชักจูงต้องการ
4. การถ่ายโยงการเรียนรู้
(transfer
of learning) เป็นวิธีการอย่างหนึ่งที่นำไปสู่การเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ
และนำผลการเรียนรู้ไปใช้ในชีวิตประจำวัน การถ่ายโยงการเรียนรู้เกิดจากความรู้ความเข้าใจในสิ่งที่เรียนมา
เจตคติที่จะรับรู้ต่อไปประกอบกับทักษะของการฝึกฝนสิ่งที่กำลัง
เรียนรู้อยู่จนเกิดความเข้าใจใหม่
5. การจำ
การลืม การคิด (memory, forget, thinking) การจำ หมายถึง ความสามารถทางสมองที่จะเก็บหรือคงที่สิ่งที่ได้เรียนรู้ไว้นานในช่วงเวลาที่ควรจำ
การลืม หมายถึง การไม่รักษาความจำไว้ได้ ซึ่งอาจเกิดได้ทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว
การคิด เป็นกระบวนการสร้างภาพให้ปรากฏขึ้นในสมอง ซึ่งบางครั้งอาจต่อเนื่องมาจากความจำข้อมูลทางด้านจิตวิทยาทั่วไป
จะทำให้ได้แนวคิดในการจัดทำหลักสูตรที่เหมาะสม กับ ผู้เรียน เช่น การกำหนดเนื้อหาในวิชาทักษะต้องยึดหลักความพร้อม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น