วันเสาร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2562

พื้นฐานทางด้านจิตวิทยา


พื้นฐานทางด้านจิตวิทยา
ในการจัดทำหลักสูตรนั้นนักพัฒนาหลักสูตรต้องคำนึงอยู่เสมอว่าต้องพยายามจัดหลักสูตรให้สนองความต้องการและความสนใจของผู้เรียนอย่างแท้จริง ด้วยการศึกษาข้อมูล พื้นฐานเกี่ยวกบตัวผู้เรียนว่าผู้เรียนเป็นใคร มีความต้องการและความสนใจอะไร มีพฤติกรรมอย่างไร ซึ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับจิตวิทยาทั้งสิ้น ดังนั้นข้อมูลพื้นฐานทางด้านจิตวิทยาจึงเป็นส่วนสำคัญที่นักพัฒนาหลักสูตรจะละเลยมิได้ในการนำมาวางรากฐานหลักสูตร เช่น การกำหนดจุดมุ่งหมายหลักสูตร การกำหนดเนื้อหาวิชา และการจัดการเรียนรู้
เพื่อให้ได้หลักสูตรที่เหมาะสม ที่สุดนักพัฒนาหลักสูตรจะต้องมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องของจิตวิทยา โดยเฉพาะ จิตวิทยาพัฒนาการ(developmental psychology) และจิตวิทยาการเรียนรู้ (psychology of learning) ซึ่งจิตวิทยาทั้ง 2 สาขานี้จะเกี่ยวข้องกับการจัดทำหลักสูตรโดยตรง นอกจากนี้ นักพัฒนาหลักสูตรยังให้ความสำคัญกับจิตวิทยาทั่วไป (generalpsychology)ในส่วนที่เกี่ยวกับการส่งเสริมการเรียนรู้ของมนุษย์ด้วยเช่นกัน   จิตวิทยาพัฒนาการกับการพัฒนาหลักสูตรจิตวิทยาพัฒนาการจะบอกถึงพัฒนาการของมนุษย์ทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม และเชาวน์ปัญญา ทำให้ทราบถึงความสามารถ ความสนใจ ความต้องการ เจตคติ และศักยภาพด้านต่าง ๆ ที่แตกต่างกันของผู้เรียนแต่ละคนองค์ประกอบของพัฒนาการของมนุษย์มี 2 ประการคือ
1. วุฒิภาวะ (maturity) หมายถึง กระบวนของความเจริญเติบโตสูงสุดของอินทรีย์ในร่างกายที่ทำให้เกิดความพร้อมที่จะทำกิจกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งในขณะนั้นโดยไม่ต้องอาศัยการฝึกฝนหรือเรียนรู้ใด ๆ หรือเป็นไปโดธรรมชาติ
2. การเรียนรู้ (learning) เป็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอันเป็นผลมาจาก ประสบการณ์ การเรียนรู้อาจเกิดขึ้นด้วยการจูงใจ หรืออาจเกิดขึ้นโดยไม่ตั้งใจก็ได้พัฒนาการและการเจริญเติบโตของมนุษย์ แบ่งออกเป็น 2 ด้าน คือ
1. พัฒนาการทางด้านร่างกาย (physical development) เป็นการเปลี่ยนแปลงในด้านโครงสร้างทั้งขนาดรูปร่าง และการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกาย
2. พัฒนาการทางด้านสติปัญญา (mental development) เป็นความเจริญงอกงามที่บ่งบอกถึงการเพิ่มพูนความ สามารถในประกอบกิจกรรมอย่างมีประสิทธิภาพ และรวบรวมความรู้ความเข้าใจไว้เป็นหมวดหมู่ เป็นพัฒนาการทางด้านความคิด ความจำ และความเข้าใจ
การวางหลักสูตรต้องกำหนดเนื้อหาวิชาให้เป็นลำดับจากง่ายไปสู่เนื้อหาที่ซับซ้อนขึ้น สอดคล้องกับลำดับขั้นพัฒนา   การด้านต่าง ๆ ของผู้เรียนและคำนึงถึงวุฒิภาวะและความพร้อมของผู้เรียน
จิตวิทยาการเรียนรู้กับการพัฒนาหลักสูตร จิตวิทยาการเรียนรู้จะบอกถึงธรรมชาติของการเรียนรู้ การเกิดการเรียนรู้และปัจจัยทางจิตวิทยาที่ส่งเสริมการเรียนรู้ สามารถนำไปใช้ในการจัดการเรียนรู้ให้กับผู้เรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพแนวคิดของนักจิตวิทยาที่เกี่ยวกับทฤษฎีการเรียนรู้มี 3 กลุ่มใหญ่ ๆ ด้วยกัน ดังนี้
1.       ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มความรู้นิยมหรือปัญญานิยม (cognitivist theory)
2.       ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มมนุษยนิยม (humanist theory) หรือกลุ่มแรงจูงใจ (motivation theory
3.       ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มความรู้นิยมหรือปัญญานิยม (cognitivist theory)
1. ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มความรู้นิยมหรือปัญญานิยม (cognitivist theory)
นักจิตวิทยากลุ่มปัญญานิยมให้ความสนใจในการศึกษาปัจจัยภายในตัวบุคคลที่เรียกว่าโครงสร้างทางปัญญา (cognitive structure) ที่มีผลต่อความจํา การรับรู้และการแก้ปัญหาของบุคคล นักจิตวิทยากลุ่มนี้มีความเชื่อว่าการกระทําต่าง ๆ ของบุคคลนั้นเกิดขึ้นจากตัวบุคคลนั้นเองไม่ใช่ เกิดจากเงื่อนไข บุคคลเป็นผู้กระทํา สภาพแวดล้อมที่จะทําให้บุคคลเรียนรู้ได้ดีนั้นจะต้องเป็นสภาพแวดล้อมที่บุคคลรับรู้และมีความหมายต่อบุคคลเท่านั้น อีกทั้งสิ่งใดที่บุคคลได้เรียนรู้มาก่อนจะมีผลต่อการเรียนรู้ในปัจจุบัน ดังนั้น นักจิตวิทยากลุ่มนี้ให้ความสนใจต่อสิ่งที่บุคคลได้เรียนรู้มาแล้ว เพื่อจะได้จัดประสบการณ์ที่มีความหมายเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพตัวอย่างนักจิตวิทยากลุ่มนี้ เช่น เกสตอลส์ (Gestalt) วิลเลี่ยม เจม (William Jame) จอห์น ดิวอี้ (JohnDewey) เอดวาร์ด โทลแมน (Edword Tolman)พีอาเจต์ (Piaget) และบูรเนอร์ (Burner)พฤติกรรมนิยม (behaviorist theory)
2. ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มมนุษยนิยม (humanist theory) หรือกลุ่มแรงจูงใจ (motivation theory)
นักจิตวิทยากลุ่มนี้คำนึงถึงความเป็นคนของคน มองธรรมชาติของมนุษย์ในลักษณะว่ามนุษย์เกิดมาพร้อมกับความดี มนุษย์เป็นผู้ที่มีอิสระสามารถนำตนเองและพึ่งตนเองไดh เป็นผู้ที่มีความคิดสร้างสรรค์ทำประโยชน์ให้สังคม มีอิสระที่จะเลือกทำสิ่งต่าง ๆ ยึดการเรียนรู้จากแรงจูงใจเป็นหลัก นักจิตวิทยากลุ่มนี้ไม่ยอมรับว่าการเรียนรู้เกิดจากการกำหนดเงื่อนไขและกลไกต่าง ๆ แต่เขาให้ความสนใจในลักษณะเฉพาะซึ่งเป็นลักษณะของปัจเจกบุคคลโดยเน้นสิ่งที่เรียกว่าตัวตน (self)
ตลอดจนความมีอิสรภาพการที่ บุคคลได้มีโอกาสเลือก การกำหนดด้วยตนเอง (self determinism) และการเจริญงอกงามส่วนตน (growth) ซึ่งลักษณะของการจัดการเรียนการสอนตามแนวคิดของนักจิตวิทยากลุ่มนี้จะเน้นที่เด็กเป็นศูนย์กลาง (child – centered) นักจิตวิทยากลุ่มนี้ที่เป็นที่รู้จักกันทั่วไป ซึ่งมีอิทธิพลในการจัดการเรียนรู้คือโรเจอร์(Rogers) และมาสโลว์ (Maslow)
3. ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มพฤติกรรมนิยม (behaviorist theory)
นักจิตวิทยากลุ่มนี้เน้นที่การศึกษาพฤติกรรมของบุคคลที่สามรรถสังเกตเห็นได้เป็นหลัก โดยมีความเชื่อว่าปัจจัยหลักที่มีผลต่อพฤติกรมของมนุษย์นั้นน่าจะมาจากสิ่งเร้าในสภาพแวดล้อม นั่นคือ ถ้าครูสามารถจัดสิ่งเร้าในสภาพแวดล้อมได้อย่างเหมาะสมแล้วก็จะสามารถทำให้เด็กเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นักจิตวิทยากลุ่มพฤติกรรมนิยมที่มีการกล่าวถึงเสมอคือ  วัตสัน (Watson) กาเย่ (Gagne) สกินเนอร์ (Skinner) พาฟลอฟ (Parlor) ธอนร์นไดค์(Thorndike)และกัททรี (Guthrie)
ข้อมูลทางด้านจิตวิทยาการเรียนรู้จะทําให้ได้แนวคิดในการจัดทำหลักสูตรที่เหมาะสมกับผู้เรียน เช่น
หลักสูตรจะต้องคํานึงถึงการฝึกหัด เพราะเป็นการเชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้าและการตอบสนอง
จัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่เน้นการแก้ปัญหา การค้นคว้า และวิธีการอื่นๆ ที่ส่งเสริมการหยั่งรู้
หลักสูตรควรมีความยืดหยุ่น โดยเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เลือกเรียนบางรายวิชา ตามความถนัดและความสนใจ
การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนเน้นบรรยากาศและสิ่งแวดล้อมให้มีสถานที่เป็นแรงจูงใจให้เกิดการเรียนรู้
จิตวิทยาทั่วไปกับการพัฒนาหลักสูตร ความรู้เกี่ยวกับจิตวิทยาทั่วไปที่นักพัฒนาหลักสูตรจะต้องคำนึงถึงในการพัฒนาหลักสูตร ได้แก่
1. ความพร้อม (readiness) เป็นสภาวะที่เกิดขึ้นในร่างกายและจิตใจที่สามารถพัฒนาขึ้นได้จากการจัดประสบการณ์และสิ่งแวดล้อม
2. เจตคติ (attitude) หมายถึง ท่าทีที่บุคคลมีต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ซึ่งจะสังเกตได้จากการแสดงออก ท่าทาง คำพูด
3. แรงจูงใจ (motive) และการจูงใจ (motivation) แรงจูงใจช่วยส่งเสริมให้ทำงาน จนสำเร็จ และนำพฤติกรรมของตนไปให้ตรงทิศทาง ส่วนการจูงใจกับวิธีการชักจูงให้บุคคลกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่ผู้ชักจูงต้องการ
4. การถ่ายโยงการเรียนรู้ (transfer of learning) เป็นวิธีการอย่างหนึ่งที่นำไปสู่การเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ และนำผลการเรียนรู้ไปใช้ในชีวิตประจำวัน การถ่ายโยงการเรียนรู้เกิดจากความรู้ความเข้าใจในสิ่งที่เรียนมา เจตคติที่จะรับรู้ต่อไปประกอบกับทักษะของการฝึกฝนสิ่งที่กำลัง เรียนรู้อยู่จนเกิดความเข้าใจใหม่
5. การจำ การลืม การคิด (memory, forget, thinking) การจำ หมายถึง ความสามารถทางสมองที่จะเก็บหรือคงที่สิ่งที่ได้เรียนรู้ไว้นานในช่วงเวลาที่ควรจำ การลืม หมายถึง การไม่รักษาความจำไว้ได้ ซึ่งอาจเกิดได้ทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว การคิด เป็นกระบวนการสร้างภาพให้ปรากฏขึ้นในสมอง ซึ่งบางครั้งอาจต่อเนื่องมาจากความจำข้อมูลทางด้านจิตวิทยาทั่วไป จะทำให้ได้แนวคิดในการจัดทำหลักสูตรที่เหมาะสม กับ ผู้เรียน เช่น การกำหนดเนื้อหาในวิชาทักษะต้องยึดหลักความพร้อม


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น